เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ต.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้จะเป็นวันประวัติศาสตร์เนาะ วันนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ฝากไว้ในชาติไทยเลย เพราะว่าในหลวงสิ้นพระชนม์ครบปีเศษๆ เนาะ แต่มันสะเทือนใจมาก วันที่ ๑๓ ตุลาฯ น่ะ เพราะว่าวันการพลัดพราก คือเสาหลักของชาติคุ้มครองดูแลเรามาตลอด แล้วพลัดพรากจากไป มันสะเทือนใจแน่นอน แต่วันนี้วันพระราชทานเพลิงศพ พระราชทานเพลิงศพมันก็เป็นวันประวัติศาสตร์

คุณงามความดีของท่านๆ สิ่งที่ทำมาในรัชกาล ๗๐ ปีนะ พอ ๗๐ ปี ฟูมฟักมาทั้งนั้นน่ะ เรื่องศิลปิน ช่างสิบหมู่ ฝึกฝนมาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย แล้วมันก็จะมาแสดงผลเอาตอนเมรุ ตอนเมรุ ตอนต่างๆ นั่นน่ะ มันมาจากไหนล่ะ ก็ท่านฟูมฟักมาทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนที่มันทำงานๆ ก็ท่านเลี้ยงมา ท่านดูแลมา ท่านฝึกหัดมันมา ศิลปวัฒนธรรม ใครทำมา ที่ว่าเจริญรุ่งเรืองๆ เจริญรุ่งเรืองจากไหน ก็จากการกระทำ มันจะลอยมาจากฟ้าหรือ

ความดีมันมาจากไหน ความดีมาจากการกระทำทั้งนั้นน่ะ แต่คนกระทำมันต้องมีหัวใจไง หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่มีหลักการ ทำสิ่งใดมันก็จะเป็นประโยชน์ไง หัวใจที่โลเล หัวใจที่ไม่มีหลักสิ่งใดเลย ทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น ถ้าจะประสบความสำเร็จ เวลาเราเกิดสหชาติ สหชาติ เกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นน่ะมีบุญกุศล การเกิดสหชาติ เราฟังธรรมๆ อยู่นี่ เราก็อยากจะเห็น อยากจะเกิดร่วม แต่มันไม่มีโอกาสไง

ตอนนี้เราก็คิดกัน คิดกันว่าเวลาเราตายไปแล้วเราจะไปเกิดพร้อมพระศรีอริยเมตไตรย พร้อมพระศรีอริยเมตไตรย เราจะประพฤติปฏิบัติได้ง่ายไง แล้วพระศรีอริยเมตไตรย เราหวังไปเกิดแล้วทำอะไรล่ะ

มันต้องมีเหตุสิ มันต้องมีเหตุมีการกระทำของเราใช่ไหม การเกิดเป็นมนุษย์ๆ ที่เรามานั่งกันอยู่นี่มันก็ต้องมีเหตุของมันมา เราได้สร้างคุณงามความดีของเรามาพอสมควร คำว่า “พอสมควร” นะ ถ้าไม่พอสมควร ไอ้จิตนี้มันต้องเกิดแน่นอน มันไม่มีเว้นวรรคอยู่แล้ว

เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเกิดในอะไร มันเกิดด้วยเวรด้วยกรรมไง กรรมดีกรรมชั่วไง ถ้าคนทำคุณงามความดีมันต้องเกิดในสิ่งที่ดีไง มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นของเท็จจริง ข้อเท็จจริง มันไม่อยู่ที่การอ้อนวอนการขอเอาหรอก การอ้อนวอนการขอเอา บารมี ๑๐ ทัศ อธิษฐานบารมี อธิษฐานบารมีแล้ว ทุกคนก็อ้อนวอน ทุกคนก็อยากได้ ทุกคนมาศึกษาแล้วอยากเกิดพร้อมกับพระศรีอริยเมตไตรย แล้วทำอะไร ไปจี้ ไปปล้น ไปเที่ยว ไปทำแต่ความชั่ว มันจะไปเกิดพบพระศรีอริยเมตไตรยได้อย่างไร

พระศรีอริยเมตไตรย มันก็ต้องสร้างแต่บุญกุศลใช่ไหม พระโพธิสัตว์ๆ สร้างคุณงามความดีๆ ไง ถ้าคุณงามความดี พระศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดแล้วจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน นั่นน่ะความดีมหาศาล แล้วเรามีแต่จี้ปล้นเขา มันจะไปเกิดร่วมได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะเป็นไปได้ เราต้องสร้างสิ ดูสิ เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาไปฟังพระอัสสชิแล้วจะมาขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่เดินมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาเรามาแล้ว” มาแล้วเพราะอะไรล่ะ เพราะเขาสร้างของเขามา เขาได้สร้างคุณงามความดีของเขามา เขาปรารถนาของเขามา เขาได้สร้างมา เวลามาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมาฝึกหัดจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เขาทำของเขามาๆ

ถ้าเขาไม่ทำของเขามา ดูสิ คนที่ไม่ทำมาก็อยากได้ ดูเทวทัต จะขอนู่นขอนี่ จะขอปกครองสงฆ์ ไม่ได้ทำมา ทำแต่เป็นคู่บารมีมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นน่ะ เขาไม่ได้ทำของเขามา แต่การสร้าง การแข่งขัน มันก็เป็นการแข่งขันทำความดีอันหนึ่ง แต่แข่งขันในทางเขาทำลายๆ เขามีอำนาจวาสนามาเกิดร่วม เวลาเกิดร่วมขึ้นมาก็จะมาแข่งขันต่อ พอแข่งขันต่อ ทำเสร็จแล้ว นั่นน่ะเขาทำของเขามา

เวลาว่าคุณงามความดีๆ วันนี้มันจะจารึกเป็นประวัติศาสตร์เลย มันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สรรพสิ่งในโลกนี้มันเกิดมา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันเป็นอนิจจัง มันแปรปรวนไปทั้งนั้นน่ะ แต่การแปรปรวน มันแปรปรวน เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันแปรปรวนไป มันอนิจจัง ไม่แน่นอนทั้งนั้น เราจะสิ้นชีวิตเมื่อไหร่ เราจะหมดอายุขัยเมื่อไหร่ แล้วที่มีอายุขัย เราจะทำอะไร ถ้าเราจะทำอะไร สร้างคุณงามความดีของเรา สร้างคุณงามความดีของเรา ความดีของเรา เราสร้างความดีของเราเพื่อเรา

สมบัติทางโลกเราก็แสวงหา การแสวงหา สุดท้ายแล้วนะ ในหลวงก็ต้องสิ้นชีวิตไป ของเราก็เหมือนกัน แต่ถ้าเราเหมือนกันแล้ว แต่เราทำคุณงามความดี เราได้เกิดร่วมกับคนดี เราเกิดแล้วมันยังมีความมั่นคงมากกว่า ดูสิ เวลาตอนที่ผู้อพยพๆ ดูแล้วมันน่าสังเวช เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่นะ ใครก็ไม่รู้ยกกองทัพเข้ามา แล้วก็มาปล้นมาจี้มาทำลาย ไอ้เราก็ไม่รู้ อยู่บ้านดีๆ แม่งไล่ออกเลย มันฆ่าทิ้งทั้งนั้นน่ะ นี่เวรกรรมอะไรของเรานั่นน่ะ

แต่ถ้าเรามั่นคงของเรา เราสร้างคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเรา เราให้เกิดนะ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดแล้วเกิดในสังคมที่ดี เราเกิดมา เกิดมามีพ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิพาฝึกพาหัดไง สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์ เราก็ฝึกหัดของเราไว้ แล้วถ้าเราโตขึ้นมา เราสร้างสมของเราขึ้นมา มันเป็นเรื่องภายนอกภายใน

คนเราจะประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องสังคมร่มเย็นเป็นสุขทั้งนั้นน่ะ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็มีปัจจัย ๔ เวลาพระบวชมาแล้วเขาก็เป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นห่วงเป็นใย แต่เวลาพระเป็นห่วงเป็นใย พระที่ยังไม่เข้มแข็งขึ้นมา มันก็แบบว่ามันมีความวิตกกังวลว่าชีวิตเราจะดำเนินไปอย่างไร แต่เวลาดำเนินของเราได้แล้ว พอมาบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง มันอยู่ของมันได้ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อดนอนผ่อนอาหาร ทั้งๆ ที่บิณฑบาตได้ก็ฉันแค่สองคำสามคำ ทำไมเราต้องมาทำอย่างนั้นน่ะ เราทำอย่างนั้นเพราะเราเห็นคุณค่าจากภายในไง เราเห็นคุณค่าว่า ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตมันมีคุณค่าขึ้นมา มันจะมีคุณค่ากว่านี้มหาศาล แล้วจิตที่มันไม่สงบขึ้นมา เราก็วิตกกังวลไปแต่เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยจากภายนอก เวลามาบวชเป็นพระแล้วมันก็วิตกกังวลกับความเป็นอยู่ ถ้ามันวิตกกังวล มันก็ฟุ้งซ่านออกไปข้างนอกใช่ไหม แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราอยากได้ความสงบ เราจะแลกมาด้วยอะไร แลกมาด้วยความเพียรของเรา ถ้าแลกมาด้วยความเพียรของเรา มันไม่สงบเพราะอะไร เพราะธาตุขันธ์มันทับจิตเพราะมีกำลังของมัน มีกำลังของเรา แล้วความเซ่อ ความเซ่อของเรา ความไม่ทันของเรา นั่นมันคืออะไรล่ะ

เวลาเรานั่งนะ เราง่วงเหงาหาวนอน ที่เวลามันกดมันทับ คนง่วงนอน มันทรมานนะ นี่ก็เหมือนกัน จิตเวลาธาตุขันธ์มันทับจิต มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ หาวอยู่นั่นน่ะ เวลามันจะเป็นก็ตกภวังค์ไปเสีย เราจะเอาสมาธิ เราไม่ต้องการภวังค์ไง แล้วจะแก้ไขอย่างไร แก้ไขอย่างไร

สิ่งที่ดำรงชีวิตๆ ถ้ามันดำรงชีวิตก็เพื่อสุขภาพจิต เพื่อสุขภาพกาย พอสุขภาพกาย สุขภาพจิต มันต้องการสิ่งใด ถ้าสุขภาพจิตต้องการสิ่งใด เราจะมีข้อวัตรปฏิบัติของเรา ถ้าคนมีสติปัญญา มันต้องมีสติปัญญาอย่างนี้มันถึงเห็นโทษของมัน

แล้วถ้าเห็นคุณๆ ชีวิตนี้มันต้องการอาหารทั้งนั้นน่ะ การดำรงชีพ ดำรงชีพเพื่อปัจจัย ๔ ทั้งนั้นน่ะ แต่ดำรงชีพทางโลกไง แต่ถ้าดำรงชีพทางธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงสมณะ สมณะฉันเพื่อดำรงชีพ ทางโลกเขาเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี นี่เวลาทานอาหารของเขา เวลาสมณะเรา สมณะเราแค่ดำรงชีพ

ดำรงชีพแบบกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ไปติดข้องกับความหรูหรา ถ้าดำรงชีพแบบสมณะ ดำรงชีพแบบผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เขาจะดูแลของเขา เขาจะกระทำของเขา พอมันเริ่มผ่อนอาหาร เริ่มมีความเพียร มันจะมีความดีไป ถ้ามีสติปัญญาพร้อมนะ ถ้าอดอาหาร การอดอาหาร ผลมันจะตกมาจากฟ้า มันจะได้ผลโดยอัตโนมัติ...ไม่ใช่

ถ้ามันอดอาหารมันเป็นคุณงามความดีๆ เวลาเขามีภัยธรรมชาติ เขามีต่างๆ ดูสิ เขาไม่มีจะกินน่ะ นั่นน่ะเขาก็อดอาหาร มันมีแต่ความทุกข์ความยาก เพราะอะไร เพราะความหิวความโหย ความวิตกกังวลมันยิ่งไปกดดันหัวใจให้มันทุกข์มันยากขึ้นไป “เราทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ ทำไมเรามีอำนาจวาสนาน้อยขนาดนี้” นี่อดยิ่งทุกข์ยิ่งยาก

แต่ของเราถ้ามันอดมีสติปัญญานะ โอ้โฮ! มันไล่เลย ปัญญามันจะไล่นะ อะไรหิว ลำไส้หรือหิว กระเพาะหรือหิว ลิ้นหรือหิว ร่างกายหรือหิว ไม่มีอะไรมันหิวเลย อ๋อ! มึงหลงไปเอง พอปัญญามันทันนะ โอ้โฮ! มันปล่อยหมดนะ มันว่างหมด ไอ้หิวๆ มันหายไปไหนล่ะ ไอ้สิ่งที่มันกดดันอยู่ในหัวใจมันหายไปไหนล่ะ มันหายไปด้วยปัญญาไง แต่พอมันคลายออกมาก็หิวอีกแล้ว เพรามันก็กังวล เห็นไหม

เวลาผู้ที่ปฏิบัติ เวลาหลวงตาท่านบอก เวลาท่านอดนอนผ่อนอาหารของท่าน แล้วถึงเวลาแล้ว ถ้าเราจะอดอาหารตลอดไปมันก็ต้องตาย ฉะนั้น มันต้องไปบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพไว้ รักษาชีวิตนี้ไว้ เวลาจะไป มันอาลัยอาวรณ์ มันโต้เถียงกันนะ คนที่อดอาหารแล้วกำลังได้เสีย เวลาออกไปมันไม่อยากไป แต่ไม่อยากไปเพราะมันมีสติไง มันมีปัญญาไง มันมีปัญญาว่า ถ้าเราไม่ไป เราปฏิบัติแล้วยังไม่ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราจะตายเสียก่อน คนฉลาดหรือคนโง่ที่จะปล่อยให้ชีวิตนี้สิ้นไปโดยที่เรายังไม่ได้มรรคได้ผล มันไม่ปล่อยให้ชีวิตนี้สิ้นไปหรอก ฉะนั้น ไม่ปล่อยให้ชีวิตนี้สิ้นไป มันต้องออกไปบิณฑบาต มันต้องเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพมาแล้วมันก็ละล้าละลัง

ฉะนั้น เวลาหิวกระหายขนาดไหน เวลาฉันเข้าไปแล้วนะ หลวงตาท่านพูดเลย มันเหมือนกับม้าแข่งเชียว มันฟื้นฟูเร็วมาก ร่างกายเวลาจะฟื้นฟูได้เร็วมาก แต่หัวใจจะฟื้นฟูได้แสนยาก ทำความสงบของใจจะรักษานี้แสนยาก

ทีนี้การประพฤติปฏิบัติภายในๆ ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ก็จะมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นทางโลก เรามีเสาหลักของชาติคุ้มครองดูแลเรา เราก็มีความอบอุ่นใช่ไหม แล้วเวลาสิ่งนี้พลัดพรากจากเราไปแล้ว มันพลัดพรากไปตามข้อเท็จจริงโดยตามธรรม ตามธรรม สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งต้องแปรสภาพ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะยับยั้งไว้ได้ แต่เรามีบุญนะ เราได้เกิดมาแล้วเราได้ร่มโพธิ์ร่มไทร เราเกิดมาแล้วเราได้เห็นสิ่งที่ว่าความดีเป็นอย่างใด

เราได้เห็นแต่ตำรา ได้เห็นแต่คนเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ แต่เราได้เห็นกับใจของเรา แล้วผู้ที่ได้รับความเจือจานจากท่าน อันนั้นยิ่งฝังใจใหญ่ คนที่จนตรอก คนที่ไม่มีทางไป แล้วได้รับการอุ้มชู ได้รับการดูแลรักษา มันฝังใจทั้งนั้นน่ะ แล้วการอุ้มชูดูแลแบบทิ้งเหว แบบไม่ต้องการผลตอบแทน ทำสิ่งใดไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น หวังแต่ความสุขของประชาชน หวังแต่ความสุขของเราไง

เวลาท่านพูด เห็นไหม ท่านเป็นศัตรูกับความหิว กับความทุกข์ ท่านไม่เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น ท่านเป็นศัตรูกับความหิวโหยของคน แล้วเวลามันทำไปแล้วมันเป็นสากล โครงการหลวงไปหลายชาติมาก หลายชาติเอาโครงการหลวงนี้ไปใช้เพราะมันยั่งยืน แล้วถ้ามันประสบความสำเร็จแล้วให้คนที่ทำนั้นมันพึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องไปดูแลตลอดไป มันยั่งยืนๆ

แต่พวกเราไปดู ไปดูแต่ทางโลกไง ระบบเศรษฐกิจ ปลาใหญ่กินปลาเล็กไง เราต้องเป็นปลาใหญ่ แล้วเราจะไปกินปลาเล็ก เราพยายามสร้างตัวเองให้เราใหญ่ พอเราจะสร้างตัวเองให้เราใหญ่ขึ้นมา มันเลยล้มเหลวก่อนที่จะได้เป็นปลาใหญ่

แต่ถ้ามันพอเพียงของมัน มันยั่งยืนของมัน เราจะเป็นปลาใหญ่ปลาเล็ก เราก็เป็นปลา เออ! เราเป็นปลาแล้วเราก็พอแล้ว จะใหญ่จะเล็กนะ แต่ความสุขนั้นเป็นของเรา ความสุขเป็นของเรา นี่มันเป็นธรรมๆ ไง

เราจะบอกว่า วันนี้มันจะเป็นประวัติศาสตร์ชาติอีกวันหนึ่ง ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ชาติอีกวันหนึ่ง สิ่งที่เราเตรียมตัวกันมา ๑ ปี มันก็ยังมีความสะเทือนใจอยู่ แต่ความสะเทือนใจอยู่แล้ว นี่ธรรมโอสถๆ เราจะมีคุณธรรม มีสิ่งใดเจือจานในหัวใจของเรา แล้วเราดูแลใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ

เรามาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลอุทิศ เวลาวันเฉลิมฯ เราทำบุญกุศลเพื่ออุทิศให้ในหลวง เราทำบุญกุศลอุทิศให้ในหลวง ในหลวงท่านบุญกุศลล้นเหลืออยู่แล้วล่ะ เราทำบุญกุศลก็บุญกุศลของเรานี่แหละ เราทำบุญกุศลมันก็เป็นอุบายฝึกฝนให้เราเป็นคนดีขึ้นมา ฝึกฝนให้จิตใจเราเป็นสาธารณะขึ้นมา ฝึกให้เรามีน้ำใจขึ้นมา พอมีน้ำใจขึ้นมา ผลมันตอบกลับมา ผลมันตอบสนองกลับมา เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ถ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เพื่อสัตว์โลก เพื่อสัตว์โลก เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ เวลาพระอาทิตย์ขึ้น มันส่องแสงไป มันไม่ลำเอียงบ้านคนรวยคนจนเลย เสมอภาคหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไปมันเสมอภาคกันหมดแหละ เพียงแต่ว่าบ้านไหนมันรังเกียจแสงอาทิตย์ มันไม่ต้องการแสง มันปลูกต้นไม้ปิดไว้หมดเลย นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรามันมืดบอด หัวใจเรามืดบอด มันไม่ต้องการสิ่งนั้น มันไม่ต้องการสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับมัน มันก็จะไม่ได้ประโยชน์กับมัน ทั้งๆ ที่มันเกิดมาในร่มของพระพุทธศาสนานี่แหละ แต่มันจะไม่ได้สิ่งใดเป็นประโยชน์กับมันไง

แต่ถ้าคนที่มีสติมีปัญญาเขาขวนขวาย ดูสิ เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปเยี่ยมเพื่อน เห็นเขาทำอาหารกันเยอะแยะเลย “นี่เขาทำอะไรกันเนี่ย”

“อู้ฮู! ไม่รู้หรือว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว”

อนาถบิณฑิกเศรษฐีนอนไม่ได้เลย นี่เวลาคนนะ เพราะคำว่า “พุทธะ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “ศาสดา” มันสะเทือนใจมากจนนอนไม่ได้ วันนั้นต้องไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดที่บ้านเลย แล้วซื้อเชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นี่คนที่เขาแสวงหาเขารอของเขา

ไอ้ของเรานี่เพราะอะไร เพราะมันอยู่ที่วาสนานะ สังคมมันก็มีดีมีเลวปนกันทั้งนั้นน่ะ จะว่าพระดีไปทั้งหมดมันก็เป็นไปไม่ได้ จะว่าพระเลวทั้งหมดหรือ พระพุทธศาสนา ๒,๐๐๐ กว่าปีนี่ไม่มีคุณค่าอะไรเลยหรือ พระพุทธศาสนาที่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมันไม่มีอะไรดีในตัวมันเองเลยหรือ มันต้องมีความดีในตัวมันเองสิ มันถึงยืนยันมาได้ป่านนี้

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงในใจนะ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมาในใจสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ มันไม่มีหรอก อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา สดๆ ร้อน สดๆ ร้อนๆ

แต่ของเราทุกข์ร้อนๆ ทุกข์บีบคั้นร้อนๆ ไม่มีสิ่งใดสดๆ ร้อนๆ หรอก ถ้าสดๆ ร้อนๆ เริ่มต้นระดับทานที่เราทำบุญกุศลกันอยู่นี่ วันนี้เป็นวันจารึกประวัติศาสตร์ เราก็ได้มาสร้างคุณงามความดีของเรา ถวายทาน ฟังธรรม แล้วสิ่งที่สำคัญคือความระลึกรู้ในหัวใจ ความสำนึก จิตใจของเราให้ระลึกถึง ให้มีที่ยึดเหนี่ยว คนเราเวลามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีรัตนตรัย จิตใจไม่ว้าเหว่ จิตใจมีที่พึ่ง

จิตใจที่มีแต่เราคิดอยู่คนเดียว แล้วร่องรอยอยู่บนอะไรล่ะ มีฐานอะไรไปรองรับล่ะ แต่ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่มีที่ยึดแล้ว เวลาเราภาวนา เราบอกเลย ให้พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พุทธานุสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นเราแก้ไขได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาแก้ไขมันแก้ไขด้วยปัญญานะ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาของใคร ปัญญาทางโลก ปัญญาทางธรรม แล้วปัญญาขึ้นมา บุคคล ๔ คู่ ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นปัญญาญาณ ญาณที่คาดหมายไม่ได้ ไม่มีใครคาดหมายได้ ลึกลับซับซ้อน แต่อยู่กลางหัวใจนี่ นี่พระพุทธศาสนา เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ เหตุนี้เพื่ออะไร

ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ มันมีจุดยืน ไม่เป็นเหยื่อของใคร ไม่ให้ใครมาชักนำ กาลามสูตรไง ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แต่ฟังธรรมๆ เป็นเหตุเป็นผล เป็นคติธรรม แล้วเวลาฝึกหัดหัวใจของเรา ทดสอบใจของเรา ทดสอบๆ ให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา

หลวงตาท่านสอนว่าธรรมะที่สัมผัสได้คือหัวใจของสัตว์โลกเท่านั้น สิ่งที่สัมผัสได้คือหัวใจของเรา เอวัง